อ่านละครเรื่อง ทองเนื้อเก้า ตอนอวสาน(2) วันที่ 15 พ.ย. 56

อ่านละครเรื่อง ทองเนื้อเก้า ตอนอวสาน(2) วันที่ 15 พ.ย. 56

พระวันเฉลิมเห็นกระเป๋าตังค์ตกอยู่ที่พื้น จึงเดินไปเก็บขึ้นมา
"ของใคร"
"ไม่ใช่ของผม ของไอ้บ้านั่นแหละ"
นักศึกษาพากันแยกย้ายสลายตัวเข้าเรียน พระวันเฉลิม มองกระเป๋าอยู่ที่เท้า กระเป๋าเปิดเผยให้เห็นบัตรนักศึกษาที่มีชื่อ นามสกุล พระวันเฉลิมชะงัก มองตามอภิชาติไป

มุมหนึ่งในมหาวิทยาลัย อภิชาติที่นั่งก้มหน้า ไม่คิดแม้แต่จะเช็ดเลือดบนหน้า พระวันเฉลิมก้าวเข้ามาและยื่นกระเป๋าเงินคืนให้อภิชาติ
"ของคุณ"


อภิชาตดึงกระเป๋าเงินไปจากมือพระวันเฉลิม
"ที่นี่เป็นสถาบันการศึกษา คุณเมาเหล้ามาเรียนหนังสือก็นับว่าแย่แล้ว ยังก่อการทะเลาะวิวาทอีก"
"ก็ทำเรื่อง ไล่ออกซะเลยสิ ผมก็ไม่ได้อยากเรียนนักหรอก"
"คุณทุกข์ใจอะไรนักหนา คุณอภิชาติ"
"คุณรู้จักชื่อผมได้ยังไง อ้อ..แอบเปิดดูในกระเป๋าละสิ"
"เพื่อนคุณเค้าบอก บ้านคุณฐานะก็ร่ำรวย ทำไมคุณถึงทำตัวตกต่ำสร้างปัญหาแบบนี้"
"มันเรื่องของผม"
"คุณไม่คิดว่า พ่อแม่คุณเขาจะเสียใจเหรอ ที่คุณทำตัวอย่างนี้"
"ไม่สำคัญหรอก ผมมันไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขา ผมมันก็แค่กาฝากตัวนึง ที่เขาจะเหยียบย่ำดูถูกยังไงก็ได้"
"พระพุทธเจ้ายังโดนเหยียบย่ำดูถูกเลย นับภาษาอะไรกับคน"
"ท่านจะมาสอนอะไรผมเนี่ย"
"คิดถึงป๊าของคุณให้มากๆ คุณเป็นลูกชายคนเดียวของเขา เป็นความหวังของตระกูลแท้ ๆ คุณกลับทำให้เขาผิดหวัง ทำให้คนที่เกลียดคุณ อิจฉาคุณ สมน้ำหน้าเอาได้"
"คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นลูกชายคนเดียว คุณพูดเหมือนรู้จักผมดี คุณเป็นใครกันแน่"
"ผมชื่อวันเฉลิม บ้านอยู่ฝั่งธน ในซอยหลังโรงงานกาละมังเคลือบ ผมรู้จักป๊าของคุณ"
"ถ้ายังงั้น คุณก็ต้องรู้ว่า สันดานผมมันเป็นยังงี๊ ก็เพราะเลือดแม่ผมมันแรง ผมมันมีแต่เลือดชั่วๆของแม่"
ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณ อภิชาตสะเทือนใจตัวเอง น้ำตาคลอ แต่ก็ฝืนสลัดไล่มันทิ้ง พระวันเฉลิมสะเทือนใจ แต่ก็ยินดีที่อภิชาตเปิดใจออกแล้ว
"แล้วไง"
"ผมโดนพวกพี่สาวล้อมาตั้งแต่เด็กแล้ว"
อภิชาติน้ำตาร่วงแล้วพูดต่ออย่างอัดอั้น
"พวกเขาพูดกรอกหูผมทุกวันว่า ผมมันไม่ใช่สายเลือด เดียวกับเค้า ผมมันเป็นลูกอีผู้หญิงบ้า ขี้เมา เอาแต่เล่นการพนัน จนขายลูกกิน ตอนเด็กๆ ผมเคยเอาก้อนหินขว้างใส่คนบ้าคนหนึ่งที่มานอนหน้าโรงงานป๊า คนบ้าคนนั้นละแม่ผม ผมเป็นลูกคนบ้าลูกอีขี้เมา"
"ลูกคนบ้า ลูกคนขี้เมาจะเป็นอันธพาลต่อยตีกับชาวบ้าน เรียนไม่จบโดนไล่ออก อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ สร้างความวุ่นวายให้กับพ่อ หรือจะเป็นคนที่ตั้งใจเรียน เรียนจบแล้วช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน จนร่ำรวยมั่งคั่ง สร้างความภูมิใจให้กับพ่อเค้าก็เป็นลูกคนบ้าคนขี้เมาอยู่ดี อยู่ที่เค้าเลือกจะเป็นลูกคนบ้า คนขี้เมาที่เป็นนักบุญ หรือลูกคนบ้าคนขี้เมาที่เป็นโจร"

พระวันเฉลิมปล่อยให้อภิชาติระบาย ความทุกข์ในใจออกมาจนหมด อภิชาติร้องไห้อย่างเจ็บปวด เจ็บแค้น กดดัน พระวันเฉลิมเอื้อมมือไปที่บ่าของอภิชาติอย่างให้กำลังใจ
"คุณมีทางเลือกสองทาง ถ้าอยากให้คนที่เขาเกลียดคุณ หัวเราะเยาะคุณตลอดไป คุณก็ทำตัวอย่างที่ทำนี่แหละ แต่ถ้าคุณอยากให้พวกเขาหุบปากหน้าม้านไปเอง คุณต้องพิสูจน์ให้พวกเขาได้เห็นว่า คุณก็มีดี ประสบความสำเร็จทั้งการเรียน และงานที่ทำ อดีตที่มาของคนเรา ไม่สำคัญเท่าสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันหรอก คุณอภิชาติ"
พระวันเฉลิมเดินจากมา

พระวันเฉลิมกำลังลองสวมรองเท้าหนังใหม่เอี่ยมอยู่
"ใส่สบายดี ฝีมือดี นี่สู้รองเท้ายี่ห้อดัง ๆ ได้สบายเลยนะเหน่ง"
"คู่นี้ผมให้หลวงพี่วัน"
"เอาเก็บไว้ขายเถอะ พี่มีรองเท้าแล้วตั้งสองคู่"
"แต่สีน้ำตาล พี่ยังไม่มี ผมรู้"
"เหน่งมันตั้งอกตั้งใจเย็บให้โดยเฉพาะเลย อย่าขัดศรัทธามันเลยท่าน" ปานบอก
"ตกลง ขอบใจมากนะเหน่ง"
เหน่งยื่นเงินปึกนึงให้พระวันเฉลิม
"อะไร"
"เงินที่หลวงพี่วันให้ผมยืมมาไงครับ"
"เหน่งเก็บเอาไว้เถอะ"
"ไม่ได้หรอกครับ ยังไงผมก็ต้องคืน ตอนนี้ผมไม่ต้องรับจ้างเถ้าแก่ฮวดแล้ว ผมมีร้านเป็นของตัวเองแล้ว เสาร์อาทิตย์ ก็ไปขายตลาดนัดด้วย ผมมีวันนี้ได้ก็เพราะหลวงพี่วัน"
"ก็เก็บไว้ทำทุนต่อสิเหน่ง ซื้อเครื่องจักรเพิ่ม จ้างคนงานเพิ่มก็ได้"
"พี่ช่วยผมมามากพอแล้ว พี่เลี้ยงผมป้อนข้าวป้อนน้ำผมมาแต่เล็ก พี่ชี้ทางอนาคตให้ผม จนผมมีวันนี้ได้ ถึงเวลาที่ผมต้องตอบแทนพี่บ้างแล้วครับ"
"ถ้าอยากตอบแทนก็เอาเงินไปซื้ออุปกรณ์เพิ่ม จะได้ช่วยคนที่เค้าตกงานได้มีงานทำ ช่วยให้เขามีค่าน้ำค่าไฟของครอบครัวเค้า ก็เป็นไปได้"
เหน่งมองยิ้มพระวันเฉลิม
"สาธุครับ"

สันต์ , เทวี ยิ้มปลื้มใจดูหนังสือ "พระพุทธเจ้าของหนู" กันอยู่
"หนังสือได้รางวัลรองชนะเลิศการประกวดหนังสือเยาวชน" สันต์ว่า
"อาตมาขอหนังสือจากสำนักพิมพ์มาได้จำนวนนึง อยากฝากอาเทวีเอาไปแจกจ่ายตามห้องสมุดโรงเรียนด้วยครับ"
"ยินดีจ๊ะ อาจะช่วยเอาไปแจกให้หนังสือดี ๆ อย่างนี้ เด็ก ๆ ควรจะได้อ่าน"
ปั้นบอก
"เดี๋ยวนี้ คนในซอยนี้มีแต่สอนลูกสอนหลานให้เป็นคนดี ขยันเรียนหนังสือ จะได้เหมือนหลานย่าปั้น"
"คุณแม่ภูมิใจจังเลยนะคะ"
"ภูมิใจที่สุดในชีวิตเชียวละ ถึงต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว"

ภายในมหาวิทยาลัย พระวันเฉลิมคุยกับสมฤดีเรื่องเอาหนังสือไปช่วยบริจาคเสร็จแล้ว ก็หิ้วกระเป๋าลงจากตึก และพบอภิชาติยืนคอยอยู่แล้ว
"ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ"
วันเฉลิมเดินตามอภิชาติมาถึงมุมสงบ
"ทำไมคุณไม่ยอมบอกแต่แรกว่าคุณเป็นใคร ถึงได้รู้จักผมดีขนาดนี้"
"มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย"
"ทำไมจะไม่สำคัญ ในเมื่อผมรู้แล้วว่า คุณคือพี่ชายแท้ๆ ของผม"
"แสดงว่าคุณได้คุยกับป๊าของคุณแล้ว"
"ผมเก็บคำพูดคุณกลับไปคิดอยู่หลายวัน จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจเข้าไปคุยกับป๊าอย่างเปิดอก ป๊าบอกให้ผมเลิกน้อยใจในชาติกำเนิดตัวเอง เพราะป๊ารักลูกทุกๆคนเท่าๆกัน ป๊าถึงกับบอกว่า ฟ้าส่งคุณมาโปรดผม ชีวิตคุณลำบากกว่าผมหลายร้อยเท่า แต่คุณก็เอาตัวรอดได้จนได้ดิบได้ดีอย่างทุกวันนี้ แถมยังมาช่วยให้ผมตาสว่างพ้นจากหายนะอีกด้วย ป๊าฝากขอบใจคุณมาด้วยที่ไม่ลืมผม"
"ฟ้าไม่ได้ส่งผมมาโปรดคุณหรอก แต่เพราะคุณมีวาสนาร่วมกับผมมาแต่กาลก่อน ที่สำคัญ คุณเป็นคนที่ผึกหัดได้ คุณมีปัญญาพิจารณาผิดชอบชั่วดีได้ด้วยตัวคุณเอง"
"ผมขอเรียกคุณว่าพี่ได้ไหม ให้ผมได้อุ่นใจว่า ผมไม่ได้โดดเดี่ยวอยู่บนโลกนี้ตามลำพัง"
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ"
"พี่วัน"
อภิชาติกับพระวันเฉลิมกอดกันแน่น อภิชาตินองน้ำตา ตื้นตันใจ
"พี่วันเล่าเรื่องแม่ให้ผมฟังบ้างได้ไหม ผมไม่เคยมีภาพของแม่ในความทรงจำของผมเลย นอกจากผู้หญิงขี้เมา หยาบคาย เนื้อตัวสกปรก แล้วก็เป็นบ้า อย่างที่ใคร ๆ กรอกหูผมมา"
"ใครจะพูดยังไงก็ช่างเขา แต่สำหรับพี่ที่อยู่กับแม่มาตั้งแต่เกิด ได้ดูแลแม่จนนาทีสุดท้ายของชีวิต...แม่เป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดในสายตาพี่ ต่อให้แม่เป็นอะไรยังไง แม่ก็คือผู้หญิงที่มีพระคุณสูงสุด เพราะแม่คือ ผู้ให้กำเนิดเรา สัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎนี้ กี่ภพ กี่ชาติกันที่จะมีบุญพอที่จะได้เกิดเป็นคน ระลึกไว้เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว"
อภิชาติสงบนิ่งเหมือนดวงตา และดวงใจ ได้เปิดรับสิ่งใหม่ที่ดีงามหมดจด พระวันเฉลิมเอื้อมแขนมาโอบไหล่อภิชาติไว้

อภิชาติยิ้มตอบอย่างตื้นตัน หัวใจพิสุทธิ์
ในเวลาต่อมา เหน่งรีบกระหืด กระหอบเข้ามาที่เรือนแพ
"หลวงพี่วันให้คนไปตามผม มีอะไรรึเปล่า ใครเป็นอะไร"
"ไม่มีใครเป็นอะไรหรอก พี่แค่ต้องตามเหน่งมาให้รู้จักใครคนนึง"
พระวันเฉลิมโอบไหล่เหน่งพามาเผชิญหน้าอภิชาต
"เหน่ง...นี่เฮียเต็ง ชื่อจริง ชื่ออภิชาติ"
เหน่งไหว้อภิชาติทันทีไม่ต้องรอให้แนะนำมากมาย อภิชาติรับไหว้แทบไม่ทัน
"สวัสดีครับ เฮียเป็นเพื่อนพี่วันเหรอครับ"
จิตรา, ลำยง, ลำดวน หัวเราะ จนเหน่งงง
"ไม่ใช่ อาเต็งเขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของพี่ เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเหน่ง"
"พี่พูดยังไง ผมงง งง จริงๆๆนะเนี่ย"
"ไม่ต้องงงหรอก แค่เรามีแม่คนเดียวกัน แม่ลำยองไงเหน่ง" อภิชาติบอก
"นี่ นี่ผมมีพี่ชายอีกคนเหรอครับเนี่ย"
พระวันเฉลิมยิ้มพยักหน้า
"โคตรอบอุ่นเลย พวกเรานี่ครอบครัวใหญ่เหมือนกันนะพี่วัน"
"เมื่อกี้พี่บอกทุกคนไป พี่อยากบอกเหน่งอีกที ป๊าพี่พอมีฐานะ ถ้าพวกเรามีปัญหา พี่อยากดูแลอยากช่วยเหลือนะ"
"เริ่มจากวันนี้พาไปดูหนังเลยมั้ยพี่"
ทุกคนหัวเราะกัน บรรยากาศดี สดชื่น อภิชาติเข้ากับน้องๆทุกคนได้อย่างรวดเร็ว พระวันเฉลิมพลอยอิ่มอกอิ่มใจไปด้วย
พระวันเฉลิมประคองพาปั้น จะพากลับขึ้นไปพักผ่อนข้างบน ปั้นหันกลับมามองอีกครั้ง เพราะเสียง หัวเราะเฮฮา ทุกคนนั่งล้อมวงกินข้าวฉลองกัน บรรยากาศอบอุ่น ดูเป็นครอบครัวใหญ่ที่แน่นแฟ้น
"โยมย่าจะนั่งต่อก็ได้นี่ครับ"
"ไม่ละ ย่าคุยไม่ทันเด็กสมัยนี้แล้ว เอนหลังดีกว่า...พ่อวัน"
"ครับโยมย่า"
"ถ้าแม่พ่อวันเขายังอยู่ เขาคงปลื้มใจไม่น้อยนะที่เห็นลูก ๆ รักใครกลมเกลียวกันยังงี้ รักกันให้มาก ๆ ยังงี้ตลอดไปนะลูก ยังไงก็สายเลือดเดียวกัน"
"ครับโยมย่า"
วันเฉลิมพาปั้นขึ้นบันได

บรรยากาศในวงอาหารเวลาต่อมา เต็มไปด้วยความครึกครื้น อ้อยโม้แต่เรื่องทำไข่เค็มของตนไม่ยอมหยุด
บริเวณลานวัด ร่มรื่น พระวันเฉลิมลาสมฤดี สันต์ และเทวีเพื่อไปอินเดียตามจุดมุ่งหมาย

ใจกลางเมืองพาราณสี พระวันเฉลิมเดินแสวงบุญปะปนอยู่ท่ามกลางผู้คนอันหลากหลาย บนท้องถนน รถหรูอย่างมหาราชาแล่นปะปนกับรถโกโรโกโส มีพวกคนไร้บ้านนอนอยู่ข้างถนน กลุ่มขอทานรุมวิงวอนขอเงินจากนักท่องเที่ยว
"คุณค่าของการเดินทางมิได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง เพียงอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่ระหว่างทางของการเดินทางมากกว่า ยิ่งเดินทางด้วยการเดินเท้าเราจะพบเจอสิ่งต่าง ๆ ที่เราไม่เคยได้สัมผัส ความน่าสนใจมิได้อยู่ที่สถานที่ต่างๆ หากแต่อยู่ที่ผู้คนที่เราได้พบต่างหาก เราได้สำรวจตัวเองอย่างละเอียดลออ เมื่อเหนื่อยล้า ก็ได้สัมผัสถึงความเหนื่อยล้าแทบขาดใจ เมื่อหิวก็ได้สัมผัสถึงความหิว จนเกิดความรู้สึก ว่าคนเรานี้หนอเกิดมาเพื่อหวังสิ่งใดกันแน่ เพียงปัจจัย 4 เพื่อการดำรงชีวิตยังมิเพียงพอกันอีกหรือ ตะเกียกตะกายทุรนทุรายไปเพื่อสิ่งใด หลายครั้งที่น้ำดื่มเพียงอึกเดียว จากคนที่เราไม่เคยรู้จัก ก็ทำให้ซาบซึ้งถึงน้ำใจอันแสนบริสุทธิ์จากเพื่อนร่วมโลก ในสังคมที่วุ่นวาย สิ่งที่หล่อเลี้ยงที่ทำให้โลกนี้ปกติสุขได้ก็คือ ความรักและเมตตาธรรมโดยแท้"
ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ชาวฮินดูสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า วิงวอนด้วยการบูชาไฟ มีผู้คนมากมายอาบน้ำด้วยความศรัทธา เด็กแรกเกิดถูกจับอาบน้ำในแม่น้ำสายศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ คนแก่สวดมนตร์อยู่ที่ริมแม่น้ำด้วยความหวังและศรัทธา มีโยคีฝึกโยคะบำเพ็ญเพียรอยู่ริมฝั่ง มิใช่เพียงสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏ ณ สถานที่แห่งนี้ ยังมีศพของคนตายที่ถูกห่อด้วยเสื่อ มีคนแบกมาตามซอกตึกเพื่อลงมาเผาที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคานี้ เชื่อกันว่า แม่น้ำคงคาที่มีจุดเริ่มต้นจากมุ่นมวยผมของพระศิวะนี้ ศักดิ์สิทธิ์ และสามารถล้างบาปได้

"ด้วยหัวใจของชาวพุทธ การได้มาสัมผัสสองฝั่งแม่คงคา ทำให้ดวงตาของเราสว่างขึ้น เราเข้าใจแล้วว่า ทำไมเจ้าชายสิทธัตถะ จึงเสด็จออกบวช ทั้งที่เสวยสุขในพระราชวังมาแต่ประสูติ เราเข้าใจแล้วว่า ทำไมชมพูทวีปแห่งนี้จึงทำให้เกิดศาสดามากมายหลายองค์นัก และศาสดายังถือกำเนิดในดินแดนแห่งนี้อีกต่อไปหลายองค์"

มุมสูงขึ้นไปจากแม่น้ำคงคาแห่งนี้ พระวันเฉลิมกำลังนั่งเขียนสมุดบันทึก ถึงเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างที่ได้พบเธอและกระทบความรู้สึก
"ปัจจัยสี่ ของมนุษย์ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค.. แม้เมื่อเราเป็นเด็ก อยู่กับแม่ ผู้มัวเมาในอบายมุข ถึงจะยากจนข้นแค้น ยังไง เราก็ยังมี ปัจจัยทั้งสี่นั้น และยังสามารถ มีปัจจัยที่ห้าได้ด้วย นั่นคือ การศึกษา แต่มนุษย์ร่วมโลกตาดำ ๆ เหล่านี้มีอะไรบ้าง ที่นอนริมถนนน้ำครำ อาหารที่วันทั้งวันอาจจะมีแต่น้ำ ทั้งสัปดาห์ มีอาหารเต็มอิ่มเพียงมื้อเดียว เครื่องนุ่งห่มมีผ้าเตียวเพียงผืนเดียวตลอดชีวิต ยารักษาโรคไม่ต้องพูดถึง"

ภาพขอทาน คนไร้บ้าน กรรมกร ที่ได้เห็นช่างขัดแย้งกับภาพที่ได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่ง ... โรงแรมหรูหรา ร้านแมคโดนัล ร้านกาแฟสตาร์บัค ร้านอัญมณี เครื่องเพชร ร้านทองที่แสนจะฟู่ฟ่า
พระวันเฉลิมดื่มด่ำไปกับความจริงของชีวิต สงบนิ่ง ภายในเบิกบานด้วยปัญญา เป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบาน โดยแท้

"เราได้เห็น บรรดาเศรษฐี ดารา ผู้มีอันจะกินห่มส่าหรีไหมราคาแพงลิบ อาหารคำหนึ่งที่เข้าปาก บุคคลเหล่านี้ ราคาอาจเท่ากับราคาอาหารตลอดเดือนของคนจนคนหนึ่ง ภาพความน่าสลดหดหู่เหล่านี้ฝังแน่นเข้าไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจเรา...โลกนี้ ช่างเต็มไปด้วยความมืดสลัว และมนุษย์ผู้ทุกข์มากจริงหนอ แต่เมื่อเทียบกับความทุกข์ยากที่เราได้ผจญมา และคิดว่าตัวเอง น่าสังเวชหนักหนามันเป็นเพียงภัสมธุลี เมื่อเทียบกับความทุกข์ทั้งมวลในโลกยากไร้ใบนี้"

พระวันเฉลิม กราบพระประธานในเมืองพาราณสี ภาพพิธีเผาศพที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคายังติดตา วันนั้น ท่านยืนปลงตกอยู่ที่แม่น้ำสายนั้นจนพระอาทิตย์ตกดิน

"จุดสุดท้ายของชีวิตก็คือความตาย ยากดีมีจน อย่างไรก็ไม่มีใครหนีพ้น เราเองคงไม่อาจเป็นศาสดา หรือเป็นนักบวชที่แท้จริงได้แน่แล้ว เพราะเพียงภาพความตายที่ได้เห็นก็ทำให้หัวใจเศร้าหมอง ไม่อาจรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ เช่นพระบรมศาสดาผู้ประเสริฐ เราคงไม่อาจช่วยดึง ผู้ใดให้พ้นอบายได้ หากแม้นอยู่ในผ้าเหลืองต่อไป ก็มีแต่ต้องทับถมภาระให้ญาติผู้ใหญ่และพี่น้องเปล่าๆ"

เมื่อกลับเมืองไทย พระวันเฉลิมได้เข้ากราบพระประธานเพื่อลาสิกขา เจ้าอาวาสทำพิธีปลดผ้าเหลืองที่ครองอยู่ออกจากกาย
"ตัวเราเองยกสูงขึ้นไปในฐานะผู้ทรงศีล อาศัยผ้าเหลือง ว่าได้สร้างกุศลไถ่บาปให้แม่
ให้ใครต่อใครได้ชื่นชมว่าอยู่ในพระศาสนา ช่วยเผยแพร่สัจธรรมของพระพุทธองค์ แต่แท้จริงแล้วไม่ได้ช่วยอะไรใครได้เลย...เป็นได้แต่ภาระอีกภาระหนึ่งของทุก คน"

วันเฉลิมในชุดฆราวาสกราบลาพระประธาน เดินออกจากโบสถ์ เห็นสิ่งปลูกสร้างทางสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ อลังการ แต่ว่าดูแห้งแล้งขาดจิตวิญญาณ บางมุมในวัดเห็นกองพระพุทธธูปชำรุด คอหัก แขนขาด กุมารทอง นางกวักและรูปเคารพแปลกๆ พวงมาลัยพลาสติกสีสด ซากธูปเทียนที่จุดบูชากำใหญ่
"ยิ่งเห็นศาสนสถานใหญ่โต ก็ยิ่งหดหู่ หัวใจของพระศาสนาอยู่ที่ไหนกันแน่...พระธรรมคำสอนขององค์ศาสดามิใช่หรือที่ จะช่วยให้จิตสงบและช่วยฝูงชนผู้ทุกข์ยากได้ สิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่อลังการไม่สามารถช่วยให้พ้นทุกข์ได้เลย..เราเข้าใจ ว่าไม่มีใคร ห้ามศรัทธาของผู้คนได้ ศรัทธาของคนสิ้นหวัง ซึ่งสองมือไขว่คว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยว แม้เพียงท่อนไม้ลอยน้ำมา ก็ต้องฉวยคว้าไว้"

วันเฉลิมรู้จักตัวเอง รู้เท่าทันกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ ซื่อสัตย์ต่อสำนึกภายในใจ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว สำหรับการกลับมาใช้ชีวิตฆราวาสในโลกโลกียะ

********อวาน********

อ่านละครเรื่อง ทองเนื้อเก้า ตอนอวสาน(2) วันที่ 15 พ.ย. 56

ละครทองเนื้อเก้า บทประพันธ์โดย : โบตั๋น
ละครทองเนื้อเก้า บทโทรทัศน์โดย : ยิ่งยศ ปัญญา
ละครทองเนื้อเก้า กำกับการแสดงโดย : พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
ละครทองเนื้อเก้า ผลิตโดย : บริษัท แอค-อาร์ต เจเนเรชั่น จำกัด
ละครทองเนื้อเก้า ควบคุมการผลิตโดย : ธัญญา โสภณ
ละครทองเนื้อเก้า ละครแนว : ดราม่าเข้มข้น
ละครทองเนื้อเก้า ออกอากาศทุกวันจันทร์ - อังคาร เวลา 20.25 น. ทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา เดลินิวส์